Tumbol Suphep ต.สุเทพ 7 temples(วัดwat)
- Padang Mahavihan temple วัดป่าแดงมหาวิหาร
- Palad temple วัดผาลาด
- Fai hin temple วัดฝายหิน
- Rumphuang temple วัดร่ำเปิง
- Srisoda temple วัดศรีโสดา
- Maihouysai temple วัดใหม่ห้วยทราย
- Umong temple วัดอุโมงค์
- วัดสวนดอก Suan Dok Temple
Tumbol Maehea ต.แม่เหียะ 7 temples(วัดWat)
การเดินทาง เนื่องจากวัดทั้ง 2 ตำบล อยู่ในเส้นทางเดียวกัน ข้าพเจ้าก็เลยไปบันทึกภาพและสัมภาษณ์ในเส้นทางเดียวกัน แต่บางวัดก็ไม่ได้นัดหมายเจ้าอาวาสก็เลยไม่ได้สัมภาษณ์ เนื่องจากติดต่อไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าสังเกตว่ามีหลายวัดที่เปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ไปแล้ว
และสำนักพุทธยังไม่ได้ทำให้เป็นปัจจุบัน
ข้าพเจ้าวางแผนการเดินทาง เริ่มการเดินทางจากตำบลแม่เหียะ ข้าพเจ้าเริ่มต้นที่วัดตำหนักเนื่องจากข้าพเจ้าหาวัดต้นปินไม่เจอพอถามชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า ให้กลับรถไปฝั่งตรงข้ามขนส่งเชียงใหม่ เสร็จแล้วก็ขับรถไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นสักป้าย สังเกตว่ามีป้ายอยู่วัดหนึ่งชื่อว่าวัดอะไรสักอย่างจำไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ เป็นวัดเหมือนกันน่าจะรู้จักที่ตั้งของวัดตำหนัก(ข้าพเจ้าก็สงสัยว่าทำไมไม่อยู่ในรายชื่อของสำนักพุทธ จึงสันนิษฐานว่ายังไม่ได้ขึ้นทะเบียน) ข้าพเจ้าไปถามทางจากยามของหมู่บ้านทราบทางไปวัดตำหนัก ข้าพเจ้าก็สุ่มไป จนหาเจอ อยู่ในซอยค่อนข้างซับซ้อนสักนิด แต่คุ้มค่ากับการเดินทางไปค่ะ เพราะวัดสวยและเก่าแก่มาก ข้าพเจ้าก็เลยถามรายละเอียดการเดินทางไปวัดอื่น ทราบว่านอกจากวัดตำหนัก วัดท่าข้ามและวัดต้นปิน(วัดต้นปินอยู่ฝั่งเดียวกับแมคโครแต่ข้าพเจ้าหาไม่เจอ) วัดอื่นอยู่ฝั่งเดียวกับถนนคันคลองฝั่งดอยสุเทพทั้งสิ้น จากวัดป่าชี(ป่าจี้)สัมภาษณ์ท่านเจ้าอาวาส ซึ่งท่านก็เมตตาให้ข้อมูลและความรู้เป็นอย่างดี เจ้าอาวาสท่านเป็นคนหมู่บ้านนั้นเอง ท่านอนุรักษ์วัดวาและโบราณสถานในวัด เช่นหอไตรก็เป็นของเก่า วิหารก็เป็นของเก่า เคยมีชาวบ้านเสนอให้ทุบและขยายแต่ท่านก็ยังให้คงรูปแบบเดิมอยู่ โดยอาคารเป็นไม้สักฐานเป็นปูนยกสูง เป็นทรงล้านนาค่ะ เนื่องจากโครงหลักคาทำด้วยไม้และเชื่อมด้วยลิ่มไม่ใช้ตะปู ซึ่งเป็นเทคนิคโบราณค่ะ ส่วนลวดลายก็เป็นของเก่าคือ เป็นลวดลายปูนปั้นและนำมาติดกับไม่ น่าทึ่งที่ยังยึดติดอยู่จนถึงทุกวันนี้ ที่ดูใหม่ก็เพราะว่าท่านเพิ่งบูรณะและทาสีใหม่ ท่านว่าเดิมวัดป่าจี้มีของโบราณหลายชิ้นแต่โดนขโมยไปหมด ข้าพเจ้าก็เลยบอกท่านว่าพวกศิลปะวัตถุนั้นข้าพเจ้า่จะไม่นำเสนอภาพเพื่อป้องกันขโมยตามใบสั่ง ซึ่งท่านก็ยินดีมาก ท่านพาไปชมธรรมมาสโบราณซึ่งสวยงามและมีเทคนิคเข้าไม้ที่พิศดารมาก ตรงฐานถอดได้เป็นรูปสัตว์ทุกมุม ท่านกำลังจะบูรณะเนื่องจากชำรุดไปแล้วบางส่วน
ท่านบอกทางไปวัดอื่นที่เหลือทำให้ทราบว่าจากวัดป่าชี้ มีทางแยกซ้ายและแยกขวาเป็นตัวY ไปวัดสวนพริกเลี้ยวซ้าย ไปวัดอุโบสถเลี้ยวขวา ต่อมาข้าพเจ้าไปวัดสวนพริก ทางไปน่าตกใจมากเพราะขึ้นเขา แถมอยู่ในป่าลึก ไม่ค่อยมีบ้านคน แต่ข้าพเจ้าก็ดั้นด้นตามหาจนเจอ ใครจะไปก็อย่างเพิ่งถอดใจเพราะทางเข้าซับซ้อนนะคะ สังเกตง่ายๆ ถ้าผ่านด่านตรวจของป่า แสดงว่าท่านมาถูกทางแล้ว และอย่าเพิ่งตกใจ วัดสวนพริกอยู่ในป่า น่าจะชื่อวัดสวนป่ามากกว่าทำไมถึงเรียกสวนพริกข้าพเจ้าก็ไม่ทราบจะไปสอบถามดู ข้าพเจ้าจะไปวัดนี้อีกครั้งหนึ่งเนื่องจากทางวัดเพิ่งจะรื้อวิหารหลังเก่าและขยายใหม่ ขณะนี้วิหารใหม่สร้างเสร็จแล้วเหลือแต่ตกแต่งและเขียนภาพ ท่านว่าจะเสร็จประมาณ มี.ค.ปีหน้า ข้าพเจ้าจะไปบันทึกภาพและประวัติต่อไป เสร็จจากวัดนี้แล้วข้าพเจ้าก็หาทางไปวัดพระธาตุดอยคำต่อ เนื่องจากข้าพเจ้าติดต่อเจ้าอาวาสไม่ได้ก็เลยไม่ได้สัมภาษณ์แต่ทราบจากที่ท่านบันทึกเทปและเปิดทิ้งไว้ทำให้ทราบว่าวัดนี้เป็นพระธาตุประจำปีวอก มาก็แสนง่ายอยู่สุดทางที่ไปพืชสวนโลก แต่ขึ้นแสนยาก ถนนแคบแต่ดีเพราะเป็นถนนลาดยาง โหดพอๆกับทางขึ้นดอยสุเทพแหละค่ะ แต่แึคบกว่าและระยะทางสั้นกว่าเนื่องจากเป็นดอยที่เตี้ยกว่าค่ะ ต่อมาข้าพเจ้าก็หาทางไปวัดอุโบสถ ซึ่งก็ยาก(อีกแล้ว) แต่ก็งมทางไปจนเจอ เนื่องจากอยากดูอุโบสถร้อยปี พอไปถึงหมาวัดก็มารุมเลยค่ะ เห่าขรมเลยแต่เห่ายังไงก็ไม่กัดเพราะข้าพเจ้าอธิษฐานจิตว่ามาทำความดี มาบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติ สักพักหมาก็เลิกเห่า เนื่องจากติดต่อไม่ได้ทำให้ไม่ได้นัดหมายสัมภาษณ์เจ้าอาวาส น่าเสียดายเพราะทราบจากคนขายพระที่วัดพระธาตุดอยคำว่าเจ้าอาวาสท่านมีพระอุปคุตโบราณและนำมนต์จากพระอุปคุตนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ต่อจากวัดนี้ข้าพเจ้าก็ไม่อยากกลับไปทางเดิมเนื่องจากวัดบ้านปินอยู่อีกฝั่งของถนนข้าพเจ้าเลยตัดสินใจเดินทางไปวัดที่อยู่เส้นทางเดียวกันคือวัดในเขตต.สุเทพ ข้าพเจ้าเห็นป้ายวัดใหม่ห้วยทรายก็เลยเลี้ยวเข้าไปจากถนนคันคลองฝั่งดอยสุเทพ(ไม่ใช่ฝั่งทางทิศตะวันออก) ประมาณ อึดใจก็เจอแล้ว เนื่องด้วยข้าพเจ้ากลัวหลงทางก็เลยถามชาวบ้านตลอดทางเลยไม่หลง วัดนี้ที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นลวดลายกระจกสีหน้าบรรณและหน้าอุโบสถ สอบถามจากเจ้าอาวาสท่านว่าเป็นช่างคนละคนกันแต่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นลวดลายที่สวยจริงๆ เพราะการที่จะตัดกระตกให้เป็นรูปโค้งนั้นเป็นสิ่งที่ยาก แุถมเอามาเข้าเป็นรูปภาพและลวดลาย ข้าพเจ้าจึงว่าสวยดีจริงๆ ท่านเจ้าอาวาสท่านกรุณาให้ข้อมูลพอสมควรแก่การเวลา ข้าพเจ้าจึงกราบลา(เนื่่องจากหิวข้าวแล้ว) ข้าพแจ้าแวะทานอาหารแถวๆ หน้ามอ(ม.ช.) เนื่องจากบ่ายโมงกว่าแล้ว ข้าพเจ้าเห็นร้านหนึ่งมีคนเข้ามากก็เลยเข้าไป ชื่อร้านอะไรจำไม่ได้ทราบแต่มีดาราเคยมาทานที่นี่ อาหารขึ้นชื่อของร้านคือ ไข่มังกร(เอาไข่เค็มส่วนที่เป็นไข่แดงหุ้มด้วยหมูยอ ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง อร่อยพอสมควรแต่ที่น่าแปลกคือทุกอย่างของร้านนี้เผ็ด น้ำจิ้ม ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ ตั้งชื่อลงท้ายด้วยนรกทั้งสิ้น (มิน่าถึงเผ็ด) ข้าพเจ้าน้ำตาใหลเพราะทานเผ็ดไม่เป็น ก็เลยทานของหวาน เห็นจะเป็นอาหารชนิดเดียวของร้านที่ไม่เผ็ด ข้าพเจ้าเดินทางไปวัดฝายหินต่อ วัดนี้อยู่บนเนิน มีป้ายบอกค่ะ หาไม่ยาก ทางวัดมีนาคหน้าวิหารที่ไม่เหมือนวัดอื่น(คลิกดูที่วัดฝายหิน) แถมวัดนี้ก็ร่มรื่นมากเนื่องจากมีต้นไ้ม้ใหญ่และอยู่บนภูเขา ต่อจากวัดนี้ข้าพเจ้ากลัวว่าเมมโมรี่คาร์ดจะหมด(ยังไม่มีงบจะซื้อใหม่ เนื่องจากKingston16 gb พังทั้งที่ใช้ได้ไม่กี่่เดือน หมดไปหลายตังค์ เสียดายจริงๆ อยู่ดีๆก็บิ่น ข้อมูลหายหมดเลย เสียเงินเสียความรู้สึก ต่อไปจะไม่ซื้อของkingstonแล้วเพราะบอบบางเกินไป ขนาด SD Card ของจีนแดง 1 GB ยังหนาและทนทานกว่านี้เลย เดิมทีของบริษัทนี้ดีมีคุณภาพ หลังๆมาสังเกตได้ว่าจะบอบบางมาก ใครจะถ่ายภาพอย่าไปซื้อการร์ดบันทึกความจำของมังนะ ขนาดของทั่วไปอย่าง Flashdrive ก็ยังไม่ได้คุณภาพ ข้าพเจ้าซื้อ Flashdrive ก็ยังแตกเลยใช้ไม่ถึงสองเดือน ทุกคนที่ซื้อFlashdrive Kingston เจอปัญหาเดียวกันหมดคือแตก ขณะนี้ข้าพเจ้าเลยต้องประหยัดงบ อย่างแรง บันทึกภาพเท่าที่จำเป็น) ก็เลยถ่ายภาพใกล้ๆ กับออฟฟิศไปก่อน ต่อมาข้าพเจ้าไปถ่ายข้อมูลใส่ในคอมพิวเตอร์แล้วกลับออกไปถ่ายภาพที่วัดหนองป่าครั่ง(หายากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) เพราะอยู่ในซอยลึก และซับซ้อน ขนาดข้าพเจ้าโทรถามทางหลวงพ่อก่อนมาแล้วนะก็ยังมายากเลย ซอยก็แคบมาก อยู่ในซอยลึก เข้าทางซอยที่เลยสี่แยกสถานีรถไฟเชียงใหม่ เป็นอยู่เล็กๆ อยู่เลยสี่แยกมาประมาณ400 เมตร ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไป แต่มาแล้วก็คุ้ม เพราะเจอสิงห์ตัวโตคาบคน(เป็นสิงห์คาบที่ตัวใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ก็ว่าได้) ว่าจะถามหาช่างที่สร้างเจ้าอาวาสท่านก็อาพาธ แต่โชคดีที่ทราบว่าวิหารสร้างสมัยใด แถมช่างที่สร้างธรรมมาสถ์ก็จารึกชื่อใว้ข้างในแต่ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงขึ้นไปไม่ได้ พระที่มาเปิดประตูวิหารให้ท่านก็กรุณาเอากล้องไปถ่ายให้แต่ก็ถ่ายไม่ได้ เลยไม่ทราบว่าใครสร้างกันแน่ ส่วนอุโบสถ โชคดีที่มีจารึกที่ดี เพราะว่าจารึกรายชื่อช่างผู้สร้างวัดด้วย ว่าเป็นช่างชื่ออะไร ดีจริงๆ ตอนออกมาข้าพเจ้าสังเกตว่าซอยหน้าวัดทะลุกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์นิดเดียว ถ้ามาทางถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ได้จะง่ายกว่ามากเลย ต่อมาข้าพเจ้าไปวัดบวกครกน้อย ข้าพเจ้าไม่เคยไปย่านนั้นก็หลงทางอยู่พักใหญ่ ทั้งๆที่ถ้ารู้แล้วก็จะไม่ยาก ถึงแม้ว่าจะเข้ิาซอยไปหลายเลี้ยวหลายซอยก็ตาม เป็นซอยแคบและเล็กมากค่ะ ทางวัดกำลังทำซุ้มประตู ยังไม่ได้ตกแต่งลาย ต้องดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนที่ประหลาดของวัดนี้คือมีทั้งช้างและสิงห์อยู่ตรงฐานวิหาร แปลกจริงๆ ต่อมาข้าพเจ้าไปวัดบวกครกหลวง อยู่ตรงข้ามกับวัดบวกครกน้อยเยื้องมาทางทิศตะวันออกสัก500เมตร จะมีป้ายโตๆ บอกไว้ค่ะ ปรากฎว่าวัดอยู่ติดกับดาราเทวีนั่นเอง ข้าพเจ้าเคยได้ยินชื่อนี้แต่ไม่เคยมาเลย ตอนนี้เห็นแล้วก็เลยทราบว่าสวยงามอลังการมาก ตอนนั้นก็เกือบมืดแล้วแต่ก็พอมีแสงอยู่บ้าง ข้าพเจ้าได้เห็นภาพเขียนที่เก่าแก่สวยงาม แต่ก็เลือนไปบ้างแล้ว เป็นที่น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีการป้องกันการสัมผัสจากนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนวัดพระสิงห์หรือวัดนี้ก็ดี วัดภูมินทร์(น่าน)ด้วย เป็นวัดที่จัดว่ามีภาพเขียนที่สวยงามทั้งสิ้น แต่ไม่มีรั้วหรือสิ่งใดกั้นทำให้คนยื่นมือออกไปสัมผัสภาพได้ สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุใหญ่ของความเสียหาย แต่ก็ไม่มีหน่วยงานใดแก้ไขอย่างจริงจัง ตอนแรกข้าพเจ้าว่าจะไปวัดศรีบัวเงินด้วย แต่มืดแล้วก็เลยกลับบ้าน